วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557


Google Reader

Google Reader เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมเนื้อหาบล็อกที่น่าสนใจและเว็บไซต์ที่คุณอ่านบนเว็บ โดยการสมัครรับฟีดผ่าน RSS Feed ซึ่งจะรวบรวม และดึงข้อมูลข่าวสารตามที่กำหนด โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ข้อมูลที่ดึงมานั้นเนื้อหาอาจสมบูรณ์ครบถ้วน หรือมีเนื้อหาบางส่วนเพื่อลิงค์ไปยังหน้าเว็บไซต์ต้นทางก็เป็นได้

ดูหน้าตา พร้อมเข้าใช้งานได้ที่ http://reader.google.com

RSS Feed คืออะไร?


อาร์เอสเอส (อังกฤษ: RSS) คือหนึ่งในประเภทเว็บฟีด ซึ่งมีรูปแบบข้อมูลเอกซ์เอ็มแอล ซึ่งใช้สำหรับในการกระจายข้อมูลที่มีการเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลงบ่อยจากเว็บไซต์ (web syndication) และบล็อก ซึ่งอาร์เอสเอสสามารถย่อมาจากหลายรูปแบบด้วยกันคือ :
Really Simple Syndication (RSS 2.0)
Rich Site Summary (RSS 0.91)
RDF Site Summary (RSS 0.9 และ 1.0)
ที่มา wikipedia.org


จุดเด่นของ RSS คือ ไม่ต้องเข้าเว็บไซต์เพื่อเช็คดูว่าเว็บนั้นๆ ได้มีการอัพเดตข่าวสารใหม่ๆ แล้วหรือยัง ซึ่งแต่ละเว็บอาจมีการช่วงเวลาอัพเดตต่างกันไป บางครั้งเรายังลืมเข้าไปดูการอัพเดต ทำให้พลาดข่าวสารไปบางช่วง
RSS ช่วยให้เราได้รับข่าวสารอัพเดตโดยไม่ต้องเข้าไปดูเว็บไซต์หลัก และอีกทั้งยังไม่พลาดข่าวใหม่อีกด้วย
ลองคิดดู. หากเรามีเว็บไซต์ที่ต้องเข้าไปอัพเดตข่าวสาร 10-20เว็บ คงต้องเหนื่อยแน่ๆ ถ้าไล่เปิดทีละเว็บ ไม่สนุกเลยใช่ไหม?

สังเกตหาสัญลักษณ์ RSS เพื่อสมัครรับข่าวสารบนหน้าเว็บ

    1. icor 3 5 7 คืออะไร
            Intel Core เป็นชื่อแบรนด์ที่อินเทลใช้สำหรับช่วงกลางเดือนต่างๆระดับไฮเอนด์ผู้บริโภคและธุรกิจไมโครโปรเซสเซอร์ โดยทั่วไปโปรเซสเซอร์ขายเป็นหลักเป็นสายพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการประมวลผลเดียวกันตลาดเป็นรายการระดับ Celeron และ Pentium . ในทำนองเดียวกันรุ่นเหมือนกันหรือความสามารถมากขึ้นในการประมวลผลหลักจะขายยังเป็น Xeonโปรเซสเซอร์สำหรับเซิร์ฟเวอร์และเวิร์คสเตชั่นตลาดเป็นของปี 2013 ผู้เล่นตัวจริงในปัจจุบันของตัวประมวลผลหลักรวมถึง Intel Core i7 รุ่นล่าสุดของอินเทล Core i5, และ Intel Core i3 และเก่า Intel Core 2 Solo, Intel Core 2 Duo ของ Intel Core 2 Quad และ Intel Core 2 สายเอ็กซ์ตรีม

2   ความแตกต่างของซีพียู
              หลายคนที่กำลังจะตัดสินใจซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่อาจจะต้องหยุดคิดพิจารณาสักนิดหนึ่งก่อนนะครับ ตามความคิดเห็นของผมนั้น หากคุณต้องการที่จะซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ในช่วงนี้ ผมอยากให้
คุณมองถึง CPU รุ่นนี้ พร้อมทั้ง Mainbord,Ram ที่เข้ากับ CPU รุ่นนี้ได้
คำถามต่อมา คุณอาจจะสงสัยว่า แล้ว i3, i5 และ i7 นี้มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ผมจึงขอนำตารางที่สแกนมาจากโบชัวร์ของบริษัท Intel มาให้คุณได้ลองดูไปด้วยกันเลยครับ (ถ้าไม่นับถึงความเร็วของซีพียูนะครับ ใครจะทำซีพียูแพงๆ ความเร็วเท่ากับซีพียูราคาที่ต่ำกว่าล่ะครับ)
สังเกตเส้นสีแดงที่ผมตีกรอบไว้นะครับ ทั้งสามรุ่นนี้ใช้ Socket เดียวกันคือ 1156 ครับ 1. ระบบ Hyper-Threading สิ่งที่่ CPU ตระกูลนี้นำกลับเข้ามาใช้ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ ระบบ Hyper-Threading (ระบบการจำลองชุดคำสั่งแบบคู่ขนาน) ซึ่ง intel เคยนำมาใช้ตอน Pentium 4 ครับโดย
i7 จะมี 4 คอร์ 8 เธรด
i5 จะมี 4 คอร์ 4 เธรด และ 2 คอร์ 4 เธรด
i3 จะมี 2 คอร์ 4 เธรด 2. Cache L3 ระบบ Cache L3 เป็นระบบที่ทำ AMD นำมาใช้ก่อนในซีพียูรุ่นก่อนแล้ว ซึ่ง intel เพิ่งจะนำเข้ามาใช้กับซีพียูตระกูลนี้ัครับ i7 จะมี Cache L3 8 MB
i5 จะมี Cache L3 8 MB และ 4 MB
i3 จะมี Cache L3 4 MB 3. ราคา ซึ่งทาง intel ได้วางตำแหน่งของซีพียูตระกูลนี้ไว้ 3 ระดับด้วยกัน i7 เป็นซีพียูในระดับสูง ราคาจะอยู่ในช่วง 10,000 บาท ขึ้นไป
i5 เป็นซีพียูใน ระดับกลาง ราคาจะอยู่ในช่วง 6,000 – 7,000 บาท
i3 เป็นซีพียูใน ระดับพื้นฐาน ราคาจะอยู่ในช่วง 4,000 – 5,000 บาท
    3   LED  กับ  OED  แตกต่างกันอย่างไร
  จอภาพแบบ  LED
            จอ LED  ก็คือ การแสดงแสงที่สว่างสดใสมากกว่า มีความคมชัดมากกว่า ทำงานเร็วและประหยัดไฟมากกว่า น้ำหนักเบา    กว่า สามารถมองจากมุมมองด้านต่างๆได้ทั้งสี่ด้านของจอ แม้ว่าจะมองมุมไหน ก็ยังสามารถเห็นภาพที่คมชัดและสมจริง ได้อยู่ดีนั่นเอง
แอลอีดี (LED)
สำหรับจอแอลอีดีที่จำหน่ายกันอยู่เวลานี้  เรียกว่าอยู่ในกระแสที่คนกำลังให้ความสนใจกันไม่น้อยทีเดียว  แท้จริงแล้วมีนก็คือจอภาพแบบแอลซีดีที่เราใช้กันอยู่  เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนการทำงานภายใน  งานนี้ต้องนึกไปถึงการทำงานของจอแอลซีดีกันเล็กน้อย  โดยโครงการสร้างภาพของแอลซีดีจะใช้การเปลี่ยนแปลงของเหลวที่อยู่ภายใน  ซึ่งทำปฏิกิริยาแบบผกผันลันกับอุณหภูมิซึ่งไม่ควนเอาโน้ตบุ๊กไว้ในรถนะครับ  แล้วใช้การยิงลำแสงผ่านจากด้านหลังพาแนลที่เรียกกันว่าแบ็กไลต์ (Backlit  เป็นคนละแบบกับแสงแบ็กไลต์ที่จสะท้อนแสงในที่มืด) ซึ่งเป็นสีขาวโดยใช้หลอดฟลูออเรศเซนแบบเย็น (CCFL : Clod Cathohe) ทำให้เกิดขึ้นมาเป็นภาพที่ตาเราสองเห็นได้  แท้จริงแล้วก็เหมือนเราดู เงา ของผลึกเหลวในขณะทำงาน  เพราะจอภาพแอลซีดีไม่สามารถกำเนิดแสงได้ด้วยตนเองจึงต้องใช้การยิงแสงแบ็กไลต์(Backlit) นั้นเอง  ซึ่งตรงจุดนี้ล่ะแบ็กไลต์จากเดิมซึ่งใช้เป็นหลอดไฟฟลูออเรสเซนแบบเย็น (CCFL : Clod Cathohe) มาใช้เป็นหลอดแอลอีดีแทน  และยังเป็นการใช้หลอดแอลอีดีถึงสามสีประกอบด้วยแม่สี  แดง  เขียว  น้ำเงิน (RGB)





จอภาพแบบ  OED
          จอ OED screen มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ถึง 5 นิ้ว และความละเอียดที่ 960×544 pixel มีระบบ sixaxis มีกล้องหน้าหลัง จอแบบสัมผัส และรองรับระบบ 3G 

4   AMD  คืออะไร

AMD เป็นบริษัทผู้ผลิตไมโครโพรเซสเซอร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลใหญ่เป็น อันดับที่สองต่อจาก Intel พวกเขาทำ flash memory ที่เป็นแผงวงจรรวมสำหรับอุปกรณ์เครือข่ายด้วย และอุปกรณ์ตรรกะทางโปรแกรม AMD รายงานว่าได้มีการขายไมโครโพรเซสเซอร์ x86 (สอดคล้องกับ Windows) 100 ล้าน ไมโครโพรเซสเซอร์ Athon (เดิมเรียกว่า “K7”) ส่งมอบในกลางปี 1999 เป็นการสนับสนุนแรกที่บัส 200 MHz ในเดือนมีนาคม 2000 AMD ประกาศ ไมโครโพรเซสเซอร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล 1 gigahertz แรกในเวอร์ชันของ Athlon
          AMD ที่ก่อตั้งในปี 1969 ตลอดจนถึง Cyrix ได้เสนอไมโครโพรเซสเซอร์ทางเลือกราคาต่ำกว่า Intel ให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ AMD พัฒนาและผลิตโพรเซสเซอร์และผลิตภัณฑ์อื่นใน Sunnyvale, California และ Austin, Texas โรงงานผลิตใหม่เปิดใน Dresden, Germany ในปี 1999
         ไมโครโพรเซสเซอร์ราคาต่ำของ AMD ได้เป็นผู้ช่วยให้ราคาเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลราคาต่ำลงในปี 1998 – 2000 โดยทั่วไป นักทบทวนให้อัตรา K6 และ Athlon ใกล้หรือดีกว่าเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับไมโครโพรเซสเซอร์จาก Intel นอกจากนี้ “บัสระบบ 200 MHz กระแสหลักแรก” Athlon รวม pipelining floating point unit ขนาดใหญ่และ L1 และ L2 ที่โปรแกรมได้ Athlon ใช้เทคโนโลยีอลูมิเนียม 0.18 micron ของ AMD
    1   ความแตกต่างของซีพียู

               หลายคนที่กำลังจะตัดสินใจซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่อาจจะต้องหยุดคิดพิจารณาสักนิดหนึ่งก่อนนะครับ ตามความคิดเห็นของผมนั้น หากคุณต้องการที่จะซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ในช่วงนี้ ผมอยากให้
คุณมองถึง CPU รุ่นนี้ พร้อมทั้ง Mainbord,Ram ที่เข้ากับ CPU รุ่นนี้ได้
คำถามต่อมา คุณอาจจะสงสัยว่า แล้ว i3, i5 และ i7 นี้มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ผมจึงขอนำตารางที่สแกนมาจากโบชัวร์ของบริษัท Intel มาให้คุณได้ลองดูไปด้วยกันเลยครับ (ถ้าไม่นับถึงความเร็วของซีพียูนะครับ ใครจะทำซีพียูแพงๆ ความเร็วเท่ากับซีพียูราคาที่ต่ำกว่าล่ะครับ)
สังเกตเส้นสีแดงที่ผมตีกรอบไว้นะครับ ทั้งสามรุ่นนี้ใช้ Socket เดียวกันคือ 1156 ครับ 1. ระบบ Hyper-Threading สิ่งที่่ CPU ตระกูลนี้นำกลับเข้ามาใช้ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ ระบบ Hyper-Threading (ระบบการจำลองชุดคำสั่งแบบคู่ขนาน) ซึ่ง intel เคยนำมาใช้ตอน Pentium 4 ครับโดย
i7 จะมี 4 คอร์ 8 เธรด
i5 จะมี 4 คอร์ 4 เธรด และ 2 คอร์ 4 เธรด
i3 จะมี 2 คอร์ 4 เธรด 2. Cache L3 ระบบ Cache L3 เป็นระบบที่ทำ AMD นำมาใช้ก่อนในซีพียูรุ่นก่อนแล้ว ซึ่ง intel เพิ่งจะนำเข้ามาใช้กับซีพียูตระกูลนี้ัครับ i7 จะมี Cache L3 8 MB
i5 จะมี Cache L3 8 MB และ 4 MB
i3 จะมี Cache L3 4 MB 3. ราคา ซึ่งทาง intel ได้วางตำแหน่งของซีพียูตระกูลนี้ไว้ 3 ระดับด้วยกัน i7 เป็นซีพียูในระดับสูง ราคาจะอยู่ในช่วง 10,000 บาท ขึ้นไป
i5 เป็นซีพียูใน ระดับกลาง ราคาจะอยู่ในช่วง 6,000 – 7,000 บาท
i3 เป็นซีพียูใน ระดับพื้นฐาน ราคาจะอยู่ในช่วง 4,000 – 5,000 บาท
    2    LED  กับ  OED  แตกต่างกันอย่างไร
  จอภาพแบบ  LED
            จอ LED  ก็คือ การแสดงแสงที่สว่างสดใสมากกว่า มีความคมชัดมากกว่า ทำงานเร็วและประหยัดไฟมากกว่า น้ำหนักเบา    กว่า สามารถมองจากมุมมองด้านต่างๆได้ทั้งสี่ด้านของจอ แม้ว่าจะมองมุมไหน ก็ยังสามารถเห็นภาพที่คมชัดและสมจริง ได้อยู่ดีนั่นเอง
แอลอีดี (LED)
สำหรับจอแอลอีดีที่จำหน่ายกันอยู่เวลานี้  เรียกว่าอยู่ในกระแสที่คนกำลังให้ความสนใจกันไม่น้อยทีเดียว  แท้จริงแล้วมีนก็คือจอภาพแบบแอลซีดีที่เราใช้กันอยู่  เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนการทำงานภายใน  งานนี้ต้องนึกไปถึงการทำงานของจอแอลซีดีกันเล็กน้อย  โดยโครงการสร้างภาพของแอลซีดีจะใช้การเปลี่ยนแปลงของเหลวที่อยู่ภายใน  ซึ่งทำปฏิกิริยาแบบผกผันลันกับอุณหภูมิซึ่งไม่ควนเอาโน้ตบุ๊กไว้ในรถนะครับ  แล้วใช้การยิงลำแสงผ่านจากด้านหลังพาแนลที่เรียกกันว่าแบ็กไลต์ (Backlit  เป็นคนละแบบกับแสงแบ็กไลต์ที่จสะท้อนแสงในที่มืด) ซึ่งเป็นสีขาวโดยใช้หลอดฟลูออเรศเซนแบบเย็น (CCFL : Clod Cathohe) ทำให้เกิดขึ้นมาเป็นภาพที่ตาเราสองเห็นได้  แท้จริงแล้วก็เหมือนเราดู เงา ของผลึกเหลวในขณะทำงาน  เพราะจอภาพแอลซีดีไม่สามารถกำเนิดแสงได้ด้วยตนเองจึงต้องใช้การยิงแสงแบ็กไลต์(Backlit) นั้นเอง  ซึ่งตรงจุดนี้ล่ะแบ็กไลต์จากเดิมซึ่งใช้เป็นหลอดไฟฟลูออเรสเซนแบบเย็น (CCFL : Clod Cathohe) มาใช้เป็นหลอดแอลอีดีแทน  และยังเป็นการใช้หลอดแอลอีดีถึงสามสีประกอบด้วยแม่สี  แดง  เขียว  น้ำเงิน (RGB)
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3HPq5oFDfCT2kkkRZTQeqfhkdasngloYeiT3KnHSO2qYqgoMutN7g_Gp4bX46ixLCm5jo8iLsYv2gQ_Cb6DEBhnJcBOSE4wdvywVZwuNHWAB4DcRG9zmF4hCn5AOkuTMW9cjsIw5V3AI/s1600/led-lcd-tv-selection-2.jpg








จอภาพแบบ  OED
          จอ OED screen มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ถึง 5 นิ้ว และความละเอียดที่ 960×544 pixel มีระบบ sixaxis มีกล้องหน้าหลัง จอแบบสัมผัส และรองรับระบบ 3G 

3  AMD  คืออะไร

AMD เป็นบริษัทผู้ผลิตไมโครโพรเซสเซอร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลใหญ่เป็น อันดับที่สองต่อจาก Intel พวกเขาทำ flash memory ที่เป็นแผงวงจรรวมสำหรับอุปกรณ์เครือข่ายด้วย และอุปกรณ์ตรรกะทางโปรแกรม AMD รายงานว่าได้มีการขายไมโครโพรเซสเซอร์ x86 (สอดคล้องกับ Windows) 100 ล้าน ไมโครโพรเซสเซอร์ Athon (เดิมเรียกว่า “K7”) ส่งมอบในกลางปี 1999 เป็นการสนับสนุนแรกที่บัส 200 MHz ในเดือนมีนาคม 2000 AMD ประกาศ ไมโครโพรเซสเซอร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล 1 gigahertz แรกในเวอร์ชันของ Athlon
          AMD ที่ก่อตั้งในปี 1969 ตลอดจนถึง Cyrix ได้เสนอไมโครโพรเซสเซอร์ทางเลือกราคาต่ำกว่า Intel ให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ AMD พัฒนาและผลิตโพรเซสเซอร์และผลิตภัณฑ์อื่นใน Sunnyvale, California และ Austin, Texas โรงงานผลิตใหม่เปิดใน Dresden, Germany ในปี 1999
         ไมโครโพรเซสเซอร์ราคาต่ำของ AMD ได้เป็นผู้ช่วยให้ราคาเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลราคาต่ำลงในปี 1998 – 2000 โดยทั่วไป นักทบทวนให้อัตรา K6 และ Athlon ใกล้หรือดีกว่าเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับไมโครโพรเซสเซอร์จาก Intel นอกจากนี้ “บัสระบบ 200 MHz กระแสหลักแรก” Athlon รวม pipelining floating point unit ขนาดใหญ่และ L1 และ L2 ที่โปรแกรมได้ Athlon ใช้เทคโนโลยีอลูมิเนียม 0.18 micron ของ AMD

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557






  เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ iPhone 6 (ไอโฟน 6) ซึ่งในปีนี้ เปิดตัวทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ iPhone 6 หน้าจอ 4.7 นิ้ว และ iPhone 6 Plus หน้าจอ 5.5 นิ้ว โดยในเรื่องของดีไซน์นั้น ไม่ต่างจากภาพหลุดแม้แต่น้อยครับ ไม่ว่าจะเป็น ตัวเครื่องบางลง, ปุ่มปรับระดับเสียงดีไซน์ใหม่, ปุ่ม Power ย้ายมาอยู่ด้านข้าง ส่วนกล้องด้านหลัง มีลักษณะนูนเล็กน้อย นอกจากนี้ ในงาน ยังเปิดตัว Apple Watch หรือ iWatch ที่เรารู้จักกันดีอีกด้วย เรียกได้ว่า 2 ชั่วโมงของงานเปิดตัวในวันนี้ คุ้มค่าและเต็มอิ่มกันอย่างแน่นอน
           โดยในปีนี้ iPhone 6 พัฒนาจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง iPhone 5S ถึง 8 หัวข้อใหญ่ๆ ด้วยกัน หลักๆ ก็เป็นเรื่องของ ดีไซน์, ชิปApple A8, กล้องด้านหลัง, Wi-Fi, รองรับการถ่ายวีดีโอแบบ Full HD, รัน iOS 8 และรองรับ NFC มาดูกันที่แต่ละหัวข้อครับว่า iPhone 6 (ไอโฟน 6) และ iPhone 6 Plus จะน่าสนใจกันอย่างไรบ้าง
ดีไซน์ของ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ไม่ใช่แค่หน้าจอใหญ่ แต่ยังบางกว่าเดิม
 


iPhone 6 มาพร้อมหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว แบบ Retina HD Display ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล (348 ppi) แม้ว่าหน้าจอจะมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่สามารถใช้งานได้อย่างสะดวก เนื่องจากตัวเครื่องบางลงนั่นเอง โดย iPhone 6 บางเพียง 6.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ส่วน iPhone 6 Plus มาพร้อมหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว แบบ Retina HD Display ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล หรือ Full HD บาง 7.1 มิลลิเมตรครับ

 



            มาดูกันที่ดีไซน์รอบๆ ตัวเครื่องกันบ้าง iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ผลิตจาก Anodized Aluminum, Stainless Steel และกระจก ที่ช่วยทำให้ตัวเครื่องหรูหรา แข็งแรง ทนทาน ซึ่งฝาด้านหลัง ผลิตให้เป็นชิ้นเดียวกัน (Unibody) ส่วนกล้องด้านหลัง มีลักษณะนูนเล็กน้อย และขอบตัวเครื่อง โค้งมนกว่าเดิม
แรงขึ้นด้วยชิป Apple A8 แบบ 64-bit






                  iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มาพร้อมกับชิป Apple A8 แบบ 64-bit ซึ่งประมวลผลได้เร็วขึ้น (CPU) 25% ส่วนหน่วยประมวลผลภาพ (GPU) แรงขึ้น 50% นอกจากนี้ ยังมีชิป Apple M8 coprocessor คำนวณด้านการเคลื่อนไหวผ่านทางเซ็นเซอร์ต่างๆ ทั้ง Accelerometer, Compass, Gyroscope และ Barometer (วัดความกดอากาศ)


กล้องด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซลเท่าเดิม แต่ปรับปรุงเซ็นเซอร์ใหม่

                คาดหวังให้ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มาพร้อมกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซลใช่หรือไม่? งานนี้ต้องบอกเลยว่า ผิดหวังไปตามๆ กันครับ เพราะ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มาพร้อมกล้องด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล เท่า iPhone 5S แต่ได้ปรับปรุงเซ้นเซอร์ใหม่ ให้ถ่ายรูปได้สวยงามขึ้นกว่าเดิม ส่วนรูรับแสง กว้างสูงสุดที่ F/2.2
สำหรับฟีเจอร์ใหม่ของกล้อง iSight ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล บน iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ได้แก่
 Focus Pixels : ทำงานโดยอาศัยโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพชนิดใหม่ที่ออกแบบโดย Apple เซ็นเซอร์ที่มีข้อมูลภาพที่ถ่ายละเอียดขึ้นจะส่งผลให้ระบบออโต้โฟกัสทำงานได้ดีและเร็วขึ้น
 Face Detection : ระบบตรวจจับใบหน้า สามารถจดจำใบหน้าได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น แม้แต่ใบหน้าที่อยู่ไกลออกไปหรือในกลุ่มคนเยอะๆ พร้อมทั้งยังปรับปรุงระบบตรวจจับการกะพริบตาและรอยยิ้ม รวมถึงการเลือกใบหน้าในโหมดถ่ายภาพรัวต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถจับภาพที่ดีที่สุดได้โดยอัตโนมัติอีกด้วย
 Exposure Control : การควบคุมค่าแสง ปรับภาพถ่ายหรือวิดีโอให้สว่างขึ้นหรือมืดลงในหน้าต่างตัวอย่างภาพได้ถึง 4 ระดับ f-stop ด้วยการเลื่อนนิ้วง่ายๆ
  


 Auto Stabilization : ระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ หมดปัญหาภาพเบลอที่เกิดจากการเคลื่อนไหวหรือมือสั่น เพราะระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติจะถ่ายภาพที่ มีการเปิดรับแสงในระยะเวลาสั้นๆ จำนวน 4 ภาพติดกัน จากนั้นจะดึงส่วนที่ดีที่สุดของแต่ละภาพมารวมไว้ด้วยกัน เพื่อให้ได้ภาพที่มี noise, วัตถุเคลื่อนที่ หรือการสั่นที่เกิดจากการมือไหวน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
 Optical Image Stabilization : ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล (เฉพาะ iPhone 6 Plus) จะทำงานร่วมกับชิป Apple A8, Gyroscope และชิป M8 สำหรับประมวลผลการเคลื่อนไหว เพื่อตรวจวัดข้อมูลการเคลื่อนไหวและจะขยับชิ้นเลนส์อย่างแม่นยำเพื่อชดเชยอาการมือสั่นในสภาพแสงน้อย
 Photos App : แอปรูปภาพ เก็บช่วงเวลาที่น่าประทับใจ แล้วปรับแต่งในไม่กี่วินาทีด้วยเครื่องมือจัดองค์ประกอบภาพอัจฉริยะ ปุ่มปรับค่าต่างๆ และฟิลเตอร์ภาพถ่าย ในแอพรูปภาพ หรือถ้าแค่อยากถ่ายภาพง่ายๆ โดยไม่ต้องแต่งอะไร ก็สามารถทำได้โดยตรงจากหน้าจอล็อคโดยใช้รหัสผ่านหรือ Touch ID
 Panorama : สามารถถ่ายภาพแบบพาโนรามาด้วยความละเอียดสูงสุดถึง 43 เมกะพิกเซล
รองรับการถ่ายวีดีโอ ความละเอียดระดับ 1080p แล้ว
นอกจากกล้อง iSight จะปรับปรุงฟีเจอร์ด้านการใช้งานแล้ว ในส่วนของการถ่ายภาพวีดีโอ ยังรองรับที่ความละเอียดระดับ 1080p อีกด้วย ส่วนการถ่ายภาพแบบ Slo-Mo ยังเก็บรายละเอียดได้มากขึ้น ที่ 240 fps (จากเดิม 120 fps)



กล้อง FaceTime รับแสงได้มากขึ้นถึง 81%

             นอกจากจะปรับปรุงกล้องด้านหลังแบบ iSight แล้ว ในส่วนของกล้อง FaceTime ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยมาพร้อมกับความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล, รูรับแสงกว้าง F/2.2 ที่ช่วยทำให้รับแสงได้มากขึ้นถึง 81% อีกทั้งยังตรวจจับใบหน้าได้แม่นยำกว่าเดิม นอกจากนี้ ยังมี โหมดถ่ายภาพรัวต่อเนื่องแบบใหม่ (Burst Mode) ที่จับภาพได้ถึง 10 ภาพต่อวินาที
Wi-Fi เร็วขึ้น 3 เท่า
iPhone 6 (ไอโฟน 6) และ iPhone 6 Plus มาพร้อมกับระบบการเชื่อมต่อ Wi-Fi มาตรฐานแบบ 802.11ac ทำให้ได้ Wi-Fi ที่รวดเร็วกว่าแบบ 802.11n ถึง 3 เท่า ส่วนเครือข่าย LTE อัตราการรับส่งข้อมูล สูงสุดถึง 150 Mbps อีกทั้งรองรับ LTE ได้ถึง 20 ย่านความถี่ และ LTE-A รวมถึงใช้งาน VoLTE ได้ในตัวแล้ว


iPhone 6 และ iPhone 6 Plus รองรับ NFC แล้ว กับ Apple Pay

            สำหรับเทคโนโลยี NFC นั้น แอปเปิล ได้นำมาพัฒนาในชื่อของ Apple Pay ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินแบบใหม่ ที่ใช้งานง่ายขึ้น และสะดวกขึ้น ง่ายๆ ด้วยการนำ iPhone 6 ไปจ่อกับเครื่องอ่าน แล้วแตะที่ Touch ID ไว้ซักครู่ เพียงแค่นี้ ก็สามารถชำระเงินได้แล้ว รวดเร็วมากทีเดียว
           ส่วนความครอบคลุมของ Apple Pay ตอนนี้รองรับเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น ซึ่งมีพันธมิตรเข้าร่วมหลายรายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นMasterCard, VISA, American Express รวมไปถึงร้านอาหารอย่าง Subway กับ McDonalds อีกด้วย ซึ่งจะเปิดให้ใช้งานจริง ต้นเดือนตุลาคมนี้
iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ไม่มีรุ่นความจุ 32 GB แล้ว
ข่าวร้ายสำหรับท่านที่เล็งรุ่นความจุ 32 GB ครับ เพราะบน iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ไม่มีรุ่นความจุ 32 GB อีกต่อไป โดยมีให้เลือก 3 ขนาดความจุด้วยกัน ได้แก่ 16 GB, 64 GB และ 128 GB แต่ข่าวดีก็คือ รุ่นความจุ 64 GB ราคาเท่ากับ 32 GB นั่นหมายความว่า จ่ายถูกลง แต่ได้หน่วยความจำภายในเพิ่มขึ้น