
เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ iPhone
6 (ไอโฟน 6) ซึ่งในปีนี้
เปิดตัวทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ iPhone 6 หน้าจอ 4.7
นิ้ว และ iPhone 6 Plus หน้าจอ 5.5 นิ้ว โดยในเรื่องของดีไซน์นั้น ไม่ต่างจากภาพหลุดแม้แต่น้อยครับ ไม่ว่าจะเป็น
ตัวเครื่องบางลง, ปุ่มปรับระดับเสียงดีไซน์ใหม่, ปุ่ม Power ย้ายมาอยู่ด้านข้าง ส่วนกล้องด้านหลัง
มีลักษณะนูนเล็กน้อย นอกจากนี้ ในงาน ยังเปิดตัว Apple Watch หรือ iWatch
ที่เรารู้จักกันดีอีกด้วย เรียกได้ว่า 2 ชั่วโมงของงานเปิดตัวในวันนี้
คุ้มค่าและเต็มอิ่มกันอย่างแน่นอน

ดีไซน์ของ
iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ไม่ใช่แค่หน้าจอใหญ่
แต่ยังบางกว่าเดิม



มาดูกันที่ดีไซน์รอบๆ
ตัวเครื่องกันบ้าง iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ผลิตจาก Anodized Aluminum, Stainless Steel และกระจก
ที่ช่วยทำให้ตัวเครื่องหรูหรา แข็งแรง ทนทาน ซึ่งฝาด้านหลัง
ผลิตให้เป็นชิ้นเดียวกัน (Unibody) ส่วนกล้องด้านหลัง
มีลักษณะนูนเล็กน้อย และขอบตัวเครื่อง โค้งมนกว่าเดิม
แรงขึ้นด้วยชิป Apple A8 แบบ 64-bit

iPhone 6 และ iPhone
6 Plus มาพร้อมกับชิป Apple A8 แบบ 64-bit ซึ่งประมวลผลได้เร็วขึ้น (CPU) 25% ส่วนหน่วยประมวลผลภาพ
(GPU) แรงขึ้น 50% นอกจากนี้ ยังมีชิป Apple M8 coprocessor คำนวณด้านการเคลื่อนไหวผ่านทางเซ็นเซอร์ต่างๆ
ทั้ง Accelerometer, Compass, Gyroscope และ Barometer
(วัดความกดอากาศ)
กล้องด้านหลัง
ความละเอียด 8 ล้านพิกเซลเท่าเดิม
แต่ปรับปรุงเซ็นเซอร์ใหม่
คาดหวังให้
iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มาพร้อมกล้องความละเอียด
13 ล้านพิกเซลใช่หรือไม่? งานนี้ต้องบอกเลยว่า
ผิดหวังไปตามๆ กันครับ เพราะ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มาพร้อมกล้องด้านหลัง ความละเอียด
8 ล้านพิกเซล เท่า iPhone 5S แต่ได้ปรับปรุงเซ้นเซอร์ใหม่ ให้ถ่ายรูปได้สวยงามขึ้นกว่าเดิม
ส่วนรูรับแสง กว้างสูงสุดที่ F/2.2
สำหรับฟีเจอร์ใหม่ของกล้อง
iSight ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล บน iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ได้แก่
• Focus Pixels : ทำงานโดยอาศัยโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพชนิดใหม่ที่ออกแบบโดย
Apple เซ็นเซอร์ที่มีข้อมูลภาพที่ถ่ายละเอียดขึ้นจะส่งผลให้ระบบออโต้โฟกัสทำงานได้ดีและเร็วขึ้น
• Face Detection : ระบบตรวจจับใบหน้า สามารถจดจำใบหน้าได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น แม้แต่ใบหน้าที่อยู่ไกลออกไปหรือในกลุ่มคนเยอะๆ พร้อมทั้งยังปรับปรุงระบบตรวจจับการกะพริบตาและรอยยิ้ม รวมถึงการเลือกใบหน้าในโหมดถ่ายภาพรัวต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถจับภาพที่ดีที่สุดได้โดยอัตโนมัติอีกด้วย
• Exposure Control : การควบคุมค่าแสง ปรับภาพถ่ายหรือวิดีโอให้สว่างขึ้นหรือมืดลงในหน้าต่างตัวอย่างภาพได้ถึง 4 ระดับ f-stop ด้วยการเลื่อนนิ้วง่ายๆ
• Face Detection : ระบบตรวจจับใบหน้า สามารถจดจำใบหน้าได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น แม้แต่ใบหน้าที่อยู่ไกลออกไปหรือในกลุ่มคนเยอะๆ พร้อมทั้งยังปรับปรุงระบบตรวจจับการกะพริบตาและรอยยิ้ม รวมถึงการเลือกใบหน้าในโหมดถ่ายภาพรัวต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถจับภาพที่ดีที่สุดได้โดยอัตโนมัติอีกด้วย
• Exposure Control : การควบคุมค่าแสง ปรับภาพถ่ายหรือวิดีโอให้สว่างขึ้นหรือมืดลงในหน้าต่างตัวอย่างภาพได้ถึง 4 ระดับ f-stop ด้วยการเลื่อนนิ้วง่ายๆ

• Auto Stabilization : ระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ
หมดปัญหาภาพเบลอที่เกิดจากการเคลื่อนไหวหรือมือสั่น
เพราะระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติจะถ่ายภาพที่ มีการเปิดรับแสงในระยะเวลาสั้นๆ
จำนวน 4 ภาพติดกัน
จากนั้นจะดึงส่วนที่ดีที่สุดของแต่ละภาพมารวมไว้ด้วยกัน เพื่อให้ได้ภาพที่มี noise,
วัตถุเคลื่อนที่
หรือการสั่นที่เกิดจากการมือไหวน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
• Optical Image Stabilization : ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล (เฉพาะ iPhone 6 Plus) จะทำงานร่วมกับชิป Apple A8, Gyroscope และชิป M8 สำหรับประมวลผลการเคลื่อนไหว เพื่อตรวจวัดข้อมูลการเคลื่อนไหวและจะขยับชิ้นเลนส์อย่างแม่นยำเพื่อชดเชยอาการมือสั่นในสภาพแสงน้อย
• Photos App : แอปรูปภาพ เก็บช่วงเวลาที่น่าประทับใจ แล้วปรับแต่งในไม่กี่วินาทีด้วยเครื่องมือจัดองค์ประกอบภาพอัจฉริยะ ปุ่มปรับค่าต่างๆ และฟิลเตอร์ภาพถ่าย ในแอพรูปภาพ หรือถ้าแค่อยากถ่ายภาพง่ายๆ โดยไม่ต้องแต่งอะไร ก็สามารถทำได้โดยตรงจากหน้าจอล็อคโดยใช้รหัสผ่านหรือ Touch ID
• Panorama : สามารถถ่ายภาพแบบพาโนรามาด้วยความละเอียดสูงสุดถึง 43 เมกะพิกเซล
• Optical Image Stabilization : ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล (เฉพาะ iPhone 6 Plus) จะทำงานร่วมกับชิป Apple A8, Gyroscope และชิป M8 สำหรับประมวลผลการเคลื่อนไหว เพื่อตรวจวัดข้อมูลการเคลื่อนไหวและจะขยับชิ้นเลนส์อย่างแม่นยำเพื่อชดเชยอาการมือสั่นในสภาพแสงน้อย
• Photos App : แอปรูปภาพ เก็บช่วงเวลาที่น่าประทับใจ แล้วปรับแต่งในไม่กี่วินาทีด้วยเครื่องมือจัดองค์ประกอบภาพอัจฉริยะ ปุ่มปรับค่าต่างๆ และฟิลเตอร์ภาพถ่าย ในแอพรูปภาพ หรือถ้าแค่อยากถ่ายภาพง่ายๆ โดยไม่ต้องแต่งอะไร ก็สามารถทำได้โดยตรงจากหน้าจอล็อคโดยใช้รหัสผ่านหรือ Touch ID
• Panorama : สามารถถ่ายภาพแบบพาโนรามาด้วยความละเอียดสูงสุดถึง 43 เมกะพิกเซล
รองรับการถ่ายวีดีโอ ความละเอียดระดับ 1080p
แล้ว
นอกจากกล้อง iSight จะปรับปรุงฟีเจอร์ด้านการใช้งานแล้ว
ในส่วนของการถ่ายภาพวีดีโอ ยังรองรับที่ความละเอียดระดับ 1080p อีกด้วย ส่วนการถ่ายภาพแบบ Slo-Mo ยังเก็บรายละเอียดได้มากขึ้น
ที่ 240 fps (จากเดิม 120 fps)
กล้อง
FaceTime รับแสงได้มากขึ้นถึง 81%

Wi-Fi เร็วขึ้น 3 เท่า
iPhone 6 (ไอโฟน 6) และ iPhone
6 Plus มาพร้อมกับระบบการเชื่อมต่อ Wi-Fi มาตรฐานแบบ
802.11ac ทำให้ได้ Wi-Fi ที่รวดเร็วกว่าแบบ
802.11n ถึง 3 เท่า ส่วนเครือข่าย LTE
อัตราการรับส่งข้อมูล สูงสุดถึง 150 Mbps อีกทั้งรองรับ
LTE ได้ถึง 20 ย่านความถี่ และ LTE-A
รวมถึงใช้งาน VoLTE ได้ในตัวแล้ว

iPhone 6 และ iPhone
6 Plus รองรับ NFC แล้ว กับ Apple Pay
สำหรับเทคโนโลยี
NFC นั้น แอปเปิล ได้นำมาพัฒนาในชื่อของ Apple Pay ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินแบบใหม่ ที่ใช้งานง่ายขึ้น และสะดวกขึ้น ง่ายๆ
ด้วยการนำ iPhone 6 ไปจ่อกับเครื่องอ่าน แล้วแตะที่ Touch
ID ไว้ซักครู่ เพียงแค่นี้ ก็สามารถชำระเงินได้แล้ว
รวดเร็วมากทีเดียว
ส่วนความครอบคลุมของ
Apple Pay ตอนนี้รองรับเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น
ซึ่งมีพันธมิตรเข้าร่วมหลายรายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นMasterCard,
VISA, American Express รวมไปถึงร้านอาหารอย่าง Subway กับ McDonalds อีกด้วย ซึ่งจะเปิดให้ใช้งานจริง
ต้นเดือนตุลาคมนี้
iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ไม่มีรุ่นความจุ 32 GB แล้ว
ข่าวร้ายสำหรับท่านที่เล็งรุ่นความจุ 32
GB ครับ เพราะบน iPhone 6 และ iPhone 6
Plus ไม่มีรุ่นความจุ 32 GB อีกต่อไป
โดยมีให้เลือก 3 ขนาดความจุด้วยกัน ได้แก่ 16 GB, 64
GB และ 128 GB แต่ข่าวดีก็คือ รุ่นความจุ 64
GB ราคาเท่ากับ 32 GB นั่นหมายความว่า
จ่ายถูกลง แต่ได้หน่วยความจำภายในเพิ่มขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น